วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2554

___A___ ( สวัสดีปีใหม่ไทยเจ้าค่ะ)

วิธีปฐมพยาบาลเด็กเบื้องต้นจากภัยใกล้ตัว

 
วิธีปฐมพยาบาลเด็กเบื้องต้นจากภัยใกล้ตัว
ช่วยลูกอย่างไร? เมื่ออยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย!  
รายละเอียด : ช่วยลูกอย่างไร? เมื่ออยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย!

รายละเอียด
คง จะปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่ครอบครัวใดมีลูกเล็ก หรือลูกวัยกำลังซน ย่อมต้องหนักใจ และเป็นห่วงลูกเป็นธรรมดา เพราะอาจซุกซน และเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินโดยไม่คาดคิดก็เป็นได้

ไม่ว่าจะเป็น ก้างติดคอ กลืนเหรียญ น้ำร้อนลวก หรือแม้กระทั่งการได้รับสารพิษ และถูกแมลงมีพิษกัดต่อย เป็นต้น ซึ่งการเข้าไปช่วยเหลือลูกเบื้องต้นก่อนนำส่งแพทย์ จึงเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ต้องมีความรู้ และความเข้าถึงลักษณะการช่วยที่ถูกต้องด้วย

เพื่อให้เด็กรอดพ้นจาก สถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างปลอดภัย ทางโรงพยาบาลบีเอ็นเอช และทีมงาน Life and Family ได้รวบรวมวิธีการช่วยเหลือเด็กจากสถานการณ์ยอดฮิตที่ทำให้เด็กเสี่ยงตาย เพื่อนำมาเป็นข้อมูล และตัวช่วยเบื้องต้นให้กับทุกบ้าน และทุกครอบครัวได้นำไปใช้กัน ซึ่งอาจจะเป็นวิธีที่บางบ้านเคยนำไปใช้กับลูกแล้ว โดยเริ่มจากสถานการณ์แรก

*** เมื่อลูกมีก้างปลาติดคอ

ขณะ ที่เด็กกินอาหาร แน่นอนว่าอาจเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอาหารที่มีก้างยาวอย่างปลา อาจติดคอเด็กได้ ดังนั้นถ้าก้างติดคอ ควรปั้นข้าวเป็นก้อน (ไม่ต้องใหญ่มาก) แล้วให้ลูกกลืนข้าวก้อนนั้นโดยไม่ต้องเคี้ยว หรืออาจเปลี่ยนจากข้าวเป็นกล้วยสุก หรือขนมปังนิ่มๆ ก็ได้

อย่างไรก็ ดี หากกลืนข้าวปั้นแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น ให้ผสมน้ำส้มสายชูกับน้ำให้เจือจางแล้วให้ลูกค่อยๆ ดื่ม เพราะน้ำส้มสายชูจะช่วยให้ก้างปลาอ่อนตัวลง และหลุดออกได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าก้างปลายังไม่หลุดจนลูกเจ็บ และปวด ให้รีบพาลูกส่งแพทย์ทันที

*** เมื่อลูกกลืนเหรียญ หรือสิ่งของเล็กๆ

เหรียญ หรือสิ่งของชิ้นเล็ก ถือเป็นของเล่นชิ้นเอกของเด็กเลยทีเดียว โดยเฉพาะเด็กเล็กที่อยู่ในวัยกำลังกิน กำลังอม ที่อาจนำพาซึ่งสถานการณ์ฉุกเฉินได้ ดังนั้นเมื่อลูกกลืนสิ่งของเล็กๆ เข้าไป สิ่งแรกที่พ่อแม่ทำได้คือ จับลูกในลักษณะห้อยศีรษะลงต่ำ แล้วตบหลังแรงๆ เพื่อให้เด็กไอออกมา แต่ถ้าสิ่งที่ติดหลอดลมอยู่ยังไม่ออกมาพร้อมกับอาการไอของลูก ควรรีบพาส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว

*** เมื่อลูกยัดของเข้าจมูก

เด็ก เล็กจะเจอปัญหานี้บ่อย ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาสิ่งของเข้าจมูก ให้บีบรูจมูกข้างที่ไม่มีของติดอยู่ แล้วบอกให้ลูกสั่งน้ำมูกแรงๆ เพื่อให้ลมจากจมูกดันของที่ติดอยู่ออกมา ทั้งนี้ คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรใช้วิธีการแคะ หรือยัดจมูก เพราะจะยิ่งไปดันของที่ติดอยู่ในจมูก ให้อยู่ลึกเข้าไปอีก หรือถ้าลูกสั่งของที่ติดอยู่ไม่ออก ต้องพาไปพบแพทย์เพื่อทำการดึงเอาสิ่งของเหล่านั้นออกทันที มิเช่นนั้น เด็กจะหายใจลำบาก และขาดอากาศหายใจก็เป็นได้

*** เมื่อของจิ๋วๆ เข้าหูลูก

หู ใครคงไม่คิดว่า อาจจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดได้ แต่อุบัติเหตุย่อมเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ดังนั้นถ้าของชื้นจิ๋วเข้าหูลูก อย่างแรกที่พ่อแม่ควรทำคือ จับให้ตัวลูกเอียงศีรษะด้านที่มีของลง เพื่อให้ของหล่นออกมาเอง ถ้าหากทำแล้วของที่เข้าไปยังไม่ออกมา ห้ามคุณแม่แคะหูลูกเองเด็ดขาด เพราะของนั้นจะยิ่งเข้าไปลึกยิ่งขึ้น แต่ควรพาลูกไปพบแพทย์ทันที

*** เมื่อลูกถูกไฟดูด

จากงานวิจับ พบว่า กลุ่มเด็กที่มีความเสี่ยงต่อการโดนไฟดูดมากที่สุด คือ เด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ปี นั่นเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัว และยังไม่รู้ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นการช่วยเหลือลูกเมื่อถูกไฟดูด พ่อแม่ห้ามใช้มือเปล่าดึงลูกขณะที่ถูกไฟดูด เพราะกระแสไฟจะวิ่งเข้าสู่ตัวทันที แต่ควรให้ใช้ผ้าแห้งหนาๆ ห่อมือ หรือพับหนังสือพิมพ์หนาๆ แล้วผลักลูกที่โดนไฟดูดออก ซึ่งผู้ที่จะช่วยต้องตัวแห้งด้วย จากนั้นบอกให้คนรอบข้างยกคัตเอาท์ลง หรือดึงปลั๊กออก โดยใช้ไม้หรือสายยางแห้งๆ เขี่ยให้ออกจากตัวคนถูกดูด

เมื่อ กระแสไฟถูกตัดลงแล้ว ให้วิ่งเข้ามาดูลูก และรีบปฐมพยาบาลเบื้องต้นทันที เช่น ตรวจดูว่าหัวใจหยุดเต้นหรือไม่ ถ้าหยุดให้รีบนวดหัวใจพร้อมๆ กับการผายปอด และรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที แต่ถ้าไฟดูดไม่มาก ตรวจตามร่างกายว่ามีบาดแผลใดๆ หรือไม่ ลูกยังมีสติ และพูดโต้ตอบได้หรือไม่ ถ้าทุกอย่างปกติให้นำตัวลูกไปนอนพัก และเฝ้าอาการอย่างใกล้ชิด



ขอบคุณภาพจาก photobucket.com/


*** เมื่อสารพิษเข้าตาลูก

การ วางขวดสารพิษไว้ในที่ที่เด็กเอื้อมถึง อาจนำมาซึ่งภัยต่อตัวเด็กได้ เช่น สารเคมีกระเด็นเข้าตา เมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนี้ ให้พ่อแม่รีบล้างตาลูกด้วยน้ำสะอาดทันที โดยตะแคงศีรษะ และใช้น้ำสะอาดจากก๊อก หรือน้ำยาล้างตารินผ่านทางหัวตาช้าๆ และรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว กรณีที่สิ่งแปลกปลอมติดอยู่ รีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน เพื่อให้แพทย์ช่วยจัดการ ซึ่งคุณแม่ไม่ควรนำสิ่งแปลกปลอมนั้นออกด้วยตัวเอง เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อตาลูกน้อยได้

*** เมื่อลูกจมน้ำขณะอาบน้ำในอ่าง

สถานการณ์ นี้อาจจะเกิดขึ้นกับเด็กเล็กเป็นส่วนใหญ่ แต่ใช่ว่าเด็กโตจะไม่พบ ซึ่งหากลูกหกคะมำในท่าคว่ำหน้าลงในอ่างน้ำ คุณแม่ต้องอุ้มลูกน้อยขึ้นในท่าศีรษะต่ำ เพื่อช่วยให้สิ่งแปลกปลอมหรือเสมหะออกมา ป้องกันการสำลักน้ำเข้าปอด กรณีเด็กที่ไม่รู้สึกตัว ให้คุณแม่ทำการผายปอดแต่ถ้ายังไม่ดีขึ้น ให้นำส่งโรงพยาบาลทันที

*** เมื่อลูกโดนน้ำร้อนลวก

น้ำร้อน ถือเป็นภัยที่สร้างความเจ็บปวด และแสบผิวหนังจนพุพอง ดังนั้นสิ่งแรกที่ควรทำเมื่อลูกถูกน้ำร้อนลวกคือ พ่อแม่ควรถอดเสื้อของลูกออกทันที ห้ามเจาะแผลพุพองหรือตัดเศษผิวหนังออก เพราะการกระทำดังกล่าวอาจะทำให้เกิดการติดเชื้อขึ้นได้ และห้ามใส่น้ำมัน ยาสีฟัน หรือยาใดๆ บนบาดแผลที่ถูกน้ำร้อนลวก แต่ควรประคบบริเวณแผลด้วยน้ำเย็น รวมทั้งคุณแม่ควรปิดแผลด้วยผ้าก็อช หรือผ้าเช็ดหน้าที่สะอาด (อย่าใช้สำลีเป็นอันขาด) จากนั้นจึงนำไปพบแพทย์ทันที

*** เมื่ออาหารเป็นพิษ

ถ้าลูกมี อาการอาเจียน หรือท้องเสียร่วมด้วย ควรให้ลูกจิบน้ำทีละน้อย พร้อมกับหยุดรับประทานอาหาร และนมชั่วคราวจนกว่าอาการจะดีขึ้น ถ้าอาการไม่ดีขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงให้พาลูกไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการของโรคอีกที

*** เมื่อแมลงมีพิษกัดต่อย

ถ้า ลูกถูกผึ้งต่อย ไม่ควรพยายามเอาเหล็กไนออกด้วยตัวเอง เนื่องจากเหล็กไนของผึ้งมีพิษ อย่าให้นิ้วแตะถูกบริเวณบาดแผล แต่ให้ประคบด้วยถุงน้ำแข็ง หรือน้ำเย็นเพื่อป้องกันไม่ให้พิษจากเหล็กในซึมเข้าสู่ร่างกาย จากนั้นให้รีบพาไปพบแพทย์โดยเร็ว

อย่างไรก็ดี ถ้าเป็นแมลงชนิดอื่น เช่น มด หรือตะขาบให้ประคบแผลด้วยถุงน้ำแข็งหรือน้ำเย็น ถ้าปวดมากให้รีบรับประทานยาแก้ปวด หลังจากนั้นให้รีบพบแพทย์โดยเร็ว อย่าปล่อยทิ้งไว้นาน เพราะแผลที่ถูกกัด หรือต่อย อาจเกิดอาการอักเสบได้



ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต


*** เมื่อลูกน้อยได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกาย

เช่น กันกับการการวางขวดสารพิษไว้ในที่ที่เด็กหยิบง่าย ซึ่งเด็กอาจหยิบขึ้นมากินด้วยความไม่รู้ว่านี่ไม่ใช่น้ำดื่ม แต่เป็นสารพิษดีๆ นี่เอง ดังนั้นเมื่อลูกกินเข้าไป สิ่งแรกต้องทำให้ลูกอาเจียน เมื่อลูกอาเจียนเอาสารพิษออกจากกระเพาะได้แล้ว ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์รักษา

อย่างไรก็ตาม ถ้าเด็กรับประทานสารกัดกร่อน หรือน้ำมันหอมระเหยเข้าไป ห้ามทำให้เด็กอาเจียนโดยเด็ดขาด ดังนั้นควรหาชนิดของสารพิษที่ลูกรับประทานเข้าไปก่อน เก็บตัวอย่างให้แพทย์ตรวจ และควรสังเกตด้วยว่ารับประทานเข้าไปเท่าไร

*** เมื่อเลือดกำเดาไหล

ควร บีบจมูกลูกทางด้านหน้าเข้าหากัน ให้คนไข้หน้าตรง หรือก้มหน้าเล็กน้อย ไม่ต้องแหงนหน้า ระหว่างนั้นให้คนไข้หายใจทางปาก โดยทั่วไปเลือดกำเดาจะหยุดไหลภายใน 5 นาที หลังจากเลือดหยุดไหลแล้ว อย่าแคะจมูก หรือสั่งน้ำมูกแรงๆ ถ้าไม่ได้ผลให้พาคนไข้ไปพบแพทย์สาขา หู คอ จมูก

*** เมื่อถูกสุนัขกัด

ถ้าสุนัขที่กัดนั้นได้รับวัคซีน ป้องกันพิษสุนัขบ้าแล้ว ให้ล้างแผลด้วยสบู่ และน้ำสะอาด เช็ดแผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค โดยเช็ดในทิศทางที่ออกจากแผล จากนั้นเพื่อความปลอดภัย ควรนำลูกน้อยไปพบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก

ทั้งนี้ หากไม่แน่ใจว่า สุนัขที่กัด ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าแล้วหรือยัง? อาจทำให้ลูกเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้ ทางที่ดีคุณแม่ควรล้างแผลด้วยน้ำสบู่แล้วเช็ดแผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ อย่างไรก็ดี ไม่ควรฆ่าสุนัขที่กัด แต่ควรขังไว้เพื่อดูอาการ 10 วันว่าเป็นบ้าหรือไม่ หรือนำสุนัขไปให้สัตวแพทย์เพื่อตรวจอาการต่อไป

แต่ ถ้าสุนัขตายระหว่างดูอาการ ให้นำซากสุนัขไปส่งสถานเสาวภา หรือโรงพยาบาลประจำจังหวัดเพื่อตรวจพิสูจน์ หรือหากต้องเดินทางหลายวัน ให้แช่หัวสุนัขไว้ในน้ำแข็งเพื่อกันไม่ให้สมองสุนัขเน่า และถ้าสุนัขที่กัดเป็นบ้า หรือไม่สามารถติดตามสุนัขได้ ให้พาลูกน้อยไปฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าให้ครบตามที่แพทย์สั่ง

*** เมื่อลูกกระดูกหัก

แน่ นอนว่า วัยเด็กถือเป็นวัยกำลังซนมาก การเล่นจึงมีความเสี่ยงที่จะหกล้มได้สูง โดยเฉพาะล้อแล้วกระดูกหัก ดังนั้นเมื่อกระดูกหัก วิธีแรกให้ลูกนอนอยู่กับที่ ห้ามเคลื่อนย้ายโดยไม่จำเป็น ถ้ามีเลือดออกให้ทำการห้ามเลือดโดยด่วน

หรือ หากจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยให้เข้าเฝือกชั่วคราวไว้ก่อน จุดเกิดเหตุ ซึ่งถ้ามีบาดแผลให้ปิดแผลด้วยผ้าสะอาดก่อนเข้าเผือก จากนั้นจึงนำตัวส่งโรงพยาบาล อย่างไรก็ดี ถ้าเป็นอาการกระดูกหักที่ส่วนคอ หรือกระดูกสันหลัง ต้องพยายามเคลื่อนย้ายอย่างระมัดระวังที่สุด เพราะหากเคลื่อนไหวผิดท่าอาจทำให้เด็กพิการได้

*** เมื่อลูกเคล็ดขัดยอก

เคล็ด ขัดยอกอาจเกิดจากการสะดุดล้ม หรือโดนของแข็ง ลำดับแรกควรจัดท่านั่ง หรือนอนพักในท่าสบายๆ ให้กับลูก จากนั้นให้ยกส่วนที่เคล็ดให้สูงขึ้น รองด้วยหมอน หรือผ้าห่มหนาๆ แล้วนวดด้วยน้ำมันปาล์ม พันด้วยผ้าพันแผล แต่อย่าพันให้แน่นมาก เพราะจะทำให้ส่วนที่ขัดยอกระบมได้

*** เมื่อลูกโดนของมีคมบาด

การ ถูกมีดบาด ถือเป็นเรื่องปกติที่เด็กจะโดนบาดกัน ซึ่งเชื่อว่า ลูกๆ ของท่านผู้อ่านคงต้องโดนบาดกันมาบ้างแล้ว อย่างไรเสียเมื่อถูกบาดแล้ว ให้รีบทำความสะอาดบริเวณรอบๆ บาดแผลโดยใช้สำลีชุบน้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่เจือจางด้วยน้ำ และเช็ดในทิศทางที่ออกจากแผล จากนั้นปล่อยให้แห้ง ทาครีมที่มียาฆ่าเชื้อโรค หรือปล่อยให้แผลเปิดแห้ง หรือถ้าถูกตะปูตำอวัยวะของร่างกาย ควรทำความสะอาดแผลเบื้องต้น

คงจะเป็นวิธีการช่วยเหลือเด็กเบื้องต้น ที่จะเป็นประโยชน์ไม่ใช่น้อย ทางที่ดีการจัดเก็บ และมีความละเอียด รอบคอบในการจัดบ้านจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะกันไว้ดีกว่าแก้ อย่างไรก็ดี บ้านไหนเคยเจอสถานการณ์เสี่ยงแบบนี้ หรือแบบอื่นๆ ที่น่าสนใจ และสามารถช่วยเหลือลูกให้รอดพ้นจากสถานการณ์เสี่ยงตายเหล่านั้นได้ นำมาแบ่งปัน และแชร์ประสบการณ์กันได้นะครับ ทั้งนี้เพื่อจะเป็น
ประโยชน์กับครอบครัวอื่นๆ ในการช่วยเหลือบุตรหลานต่อไป
 
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง : http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9520000107205
 

30 วิธีแสนง่ายในการเลี้ยงลูกให้ฉลาด


30 วิธีแสนง่ายในการเลี้ยงลูกให้ฉลาด


30 วิธีง่ายๆ ต่อไปนี้อาจช่วยขยายไอเดียของคุณ ๆ ได้ หากลูกคุณยังไม่ได้ดั่งใจ แต่อย่างใดก็ตามเด็กก็คือเด็ก เป็นผ้าขาวของสังคม เราต้องเข้าใจธรรมชาติของเขา ก่อนที่จะไปเปลี่ยนแปลงให้เขาเป็นในสิ่งที่เราอยากให้เป็น วิธีต่างๆ เหล่านี้ผ่านการวิเคราะห์ ทดสอบ ทดลอง และสรุปผลมาแล้วจากนักวิชาการว่าใช้ได้ผลดีมาแล้วทั่วโลก

 1.ตามองตา 
เมื่อลูกลืมตาตื่นขึ้น ให้เรามองหน้าสบสายตาหนูน้อยสักครู่ หนูน้อยแรกเกิดจดจำใบหน้าของคนได้เป็นสิ่งแรกเสมอ และใบหน้าของพ่อแม่คือใบหน้าแรกที่ลูกอยากจะจดจำ ซึ่งแต่ละครั้งที่หนูน้อยจ้องมองใบหน้าของเรา สมองก็จะบันทึกความทรงจำไว้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย
 2.พูดต่อสิลูก
เวลาพูดกับลูก เว้นช่องว่างในช่วงคำง่าย ๆ ที่ลูกจะสามารถพูดต่อได้ เช่น พยางค์สุดท้ายของคำ หรือคำสุดท้ายของประโยค ในช่วงแรก ๆ ลูกอาจจะเงียบและทำหน้างง แต่ในที่สุดถ้าทำอย่างนี้บ่อย ๆ ในประโยคซ้ำ ๆ ลูกจะค่อย ๆ จับจังหวะ จับคำพูดบางคำได้ และเริ่มพูดต่อในช่วงว่างที่พ่อแม่หยุดไว้ให้
 3.ฉลาดเพราะนมแม่ 
ให้นม แม่นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผลการศึกษาในเด็กวัยเรียนพบว่า เด็กที่กินนมแม่ตอนที่เป็นทารกมักจะมีไอคิวสูงกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่ นอกจากนี้การให้นมลูกยังเป็นช่วงเวลาสำคัญในการสร้างสายสัมพันธ์กับลูกน้อย
 4. ทำตลกใส่ลูก 
แม้กระทั่งเด็กน้อยอายุเพียงแค่ 2 วัน ก็มีความสามารถเลียนแบบการแสดงออกทางสีหน้าอย่างง่าย ๆ ของพ่อแม่ได้ ไม่เชื่อลองแลบลิ้นหรือทำหน้าตาตลก ๆ ใส่ ลูกคุณจะทำตามแน่ ๆ
 5.กระจกเงาวิเศษ 
ทารกน้อยเกือบทุกคนชอบส่องกระจก เขาจะสนุกที่ได้เห็นเงาของตัวเองในกระจกโบกมือหรือยิ้มแย้มหัวเราะตอบออกมาทุกครั้ง
 6.จั๊กจี้ จั๊กจี้
การหัวเราะเป็นจุดเริ่มต้นของพัฒนาการด้านอารมณ์ขัน การเล่นปูไต่ทำให้เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับการคาดเดาเหตุการณ์ด้วยว่า ถ้าพ่อแม่เล่นอย่างนี้แสดงว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ปูจะไต่จากไหนไปถึงไหนเป็นต้น
 7.สองภาพที่แตกต่าง 
ถือรูปภาพ 2 รูป ที่คล้ายกันให้ลูกมอง โดยวางให้ห่างจากใบหน้าของลูกประมาณ 8-12 นิ้ว เช่น ภาพรูปบ้านที่เหมือนกันทั้งสองรูป แต่อีกรูปหนึ่งมีต้นไม้ต้นใหญ่อยู่ข้างบ้าน แม้ยังเป็นเด็กทารกแต่เขาสามารถสังเกตเห็นความแตกต่างนี้ได้ เป็นการสร้างความจำที่จะเป็นพื้นฐานในการจดจำตัวอักษรและการอ่านสำหรับลูก ต่อไป
 8.ชมวิวด้วยกัน
พา ลูกออกไปเดินเล่นนอกบ้าน และบรรยายสิ่งที่เห็นให้ลูกฟัง เช่น โอ้โหต้นไม้ต้นนี้มีนกเกาะอยู่เต็มเลย ดูสิลูกบนนั้นมีนกด้วย การบรรยายสิ่งแวดล้อมให้ลูกฟังสร้างโอกาสการเรียนรู้คำศัพท์ให้กับลูก
 9.เสียงประหลาด 
ทำเสียงเป็นสัตว์ประหลาด คุ๊กคู ๆ หรือทำเสียงสูง ๆ เลียนแบบเสียงเวลาที่เด็ก ๆ พูด ทารกน้อยจะพยายามปรับการรับฟังเสียงให้เข้ากับเสียงต่าง ๆ จากพ่อแม่
 10.ร้องเพลงแสนหรรษา 
สร้างเสียงและจังหวะส่วนตัวระหว่างเราและลูกน้อยขึ้นมา เช่น เวลาเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก ก็ร้องเพลงเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก อาจจะเป็นกลอนสั้น ๆ แล้วใส่เสียงสูงต่ำแบบการร้องเพลงเข้าไป หรืออีกทางคือเปิดเพลงชนิดต่าง ๆ ให้ลูกฟังบ้าง เช่น บางวันอาจจะเป็นลูกทุ่ง บางวันเป็นเพลงบรรเลง หรือเพลงป๊อปยอดฮิตทั่วไป มีนักวิจัยค้นพบว่า จังหวะดนตรีเกี่ยวพันกับการเรียนรู้คณิศาสตร์ของลูก
11.มีค่ามากกว่าแค่อาบน้ำ
เวลาในการอาบน้ำสอวนให้ลูกรู้จักส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการอาบน้ำ การบรรยายให้ลูกฟังไปด้วยว่ากำลังทำอะไรและจะทำอะไรต่อไปเท่ากับเป็นการสอน คำศัพท์ และช่วยให้ลูกเรียนรู้เกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันไปในตัว
 12.อุทิศตัวเป็นของเล่น 
ไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่องเล่นราคาแพงไว้ให้ลูกบริหารร่างกาย เพียงแค่คุณพ่อหรือคุณแม่นอนราบลงไปบนพื้น และปล่อยให้หนูพยายามคลานข้ามตัวไป แค่นี้ร่างกายของคุณพ่อคุณแม่ก็จะกลายเป็นสนามเด็กเล่นที่ราคาถูกที่สุด และสนุกที่สุดสำหรับหนูน้อยได้พัฒนากล้ามเนื้อให้ทำงานสัมพันธ์ และเรียนรู้เรื่องการแก้ปัญหาไปพร้อมกัน
 13.พาลูกไปช็อปปิ้ง 
นาน ๆ ครั้งพาลูกน้อยไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ตด้วยก็ไม่เสียหาย ใบหน้าผู้คนอันหลากหลาย รวมถึงแสง สี เสียง ในห้างสรรพสินค้า คือ สิ่งบันเทิงใจสำหรับหนูน้อยเชียวล่ะ
 14.ให้ลูกมีส่วนร่วม 
พยายามให้ลูกได้มีส่วนร่วมในกิจวัตรต่าง ๆ เช่น ถ้ากำลังจะปิดไฟก็อาจจะบอกลูกว่า แม่กำลังจะปิดแล้วนะ เสร็จแล้วจึงกดปิดสวิชต์ไฟ นี่จะเป็นการสอนให้ลูกเรียนรู้เกี่ยวกับเหตุและผล ลูกน้อยจะเรียนรู้ว่าเมื่อคุณแม่กดสวิชต์ หลอดไฟจะปิดเป็นต้น
 15.เสียงและสัมผัสจากลมหายใจ
ช่วยให้ลูกน้อยกระปรี้กระเปร่าขึ้นด้วยการเป่าลมเบา ๆ ไปตาม ใบหน้า มือ แขน หรือท้องของลูก หาจังหวะในการเป่าของตัวเอง เช่น เป่าเร็ว ๆ สลับกับช้า หรือเป่าแล้วตามด้วยเสียงต่าง ๆ ตามแต่จินตนาการของคุณพ่อคุณแม่ แล้วรอดูปฏิกริยาตอบสนองจากลูก
 16.ทิชชู่หรรษา 
ถ้าลูกชอบดึงกระดาษทิชชู่ออกจากม้วน ปล่อยเขาค่ะ อย่าห้าม แต่อาจใช้กระดาษทิชชู่ม้วนที่เราใช้ไปพอสมควรแล้ว จนเหลือกระดาษอยู่เพียงเล็กน้อย เพราะการที่เด็กน้อยได้ขยำหรือขยี้กระดาษให้ยับย่น หรือพับให้เรียบนั้นเป็นการฝึกประสาทสัมผัสและการใช้มือของลูกเป็นอย่างดี
 17.อ่านหนังสือให้ลูกฟัง
การอ่าน หนังสือช่วยให้ลูกเรียนรู้เรื่องภาษาได้จริง ๆ มีผลการวิจัยออกมาว่า แม้กระทั่งเด็กอายุ 8 เดือน สามารถเรียนรู้จดจำการเรียงลำดับคำในประโยคที่ผู้ใหญ่อ่านให้ฟังซ้ำ 2-3 ครั้งได้ ดังนั้น ควรจัดเวลาในแต่ละวันอ่านหนังสือให้ลูกฟังเป็นประจำ
 18.เล่นซ่อนหาจ๊ะเอ๋ 
การเล่นจ๊ะเอ๋นี้นอกจากจะทำให้ลูกหัวเราะแล้ว ยังช่วยให้ลูกเรียนรู้ว่าเมื่อสิ่งของหายไปแล้วสามารถกลับคืนมาได้อีก
 19.สัมผัสที่แตกต่าง 
หาสิ่งของที่มีผิวสัมผัสแตกต่างกัน เช่น ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ ไม้ หรือผ้าฝ้าย ค่อย ๆ นำพื้นผิวแต่ละอย่างไปสัมผัสแก้ม เท้า หรือท้องลูกเบา ๆ ระหว่างนี้คุณพ่อคุณแม่ก็บรรยายให้ลูกฟังไปด้วยว่าความรู้สึกเมื่อถูกสัมผัส เป็นอย่างไร เช่น นี่จั๊กจี้นะลูก ส่วนอันนี้นุ๊ม นุ่ม ใช่ไหม เป็นต้น
 20.ให้ลูกผ่อนคลายและอยู่กับตัวเองบ้าง
ให้ เวลาประมาณ 5-10 นาที ในแต่ละวัน นั่งเงียบ ๆ สบาย ๆ กับลูกน้อยบนพื้นบ้าน ไม่ต้องเปิดเพลง เปิดไฟ หรือเล่นอะไรกัน ปล่อยให้ลูกได้สำรวจสิ่งต่าง ๆ ตามใจชอบ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องไปยุ่งกับลูกเลยและรอดูว่าใช้เวลาสักเท่าไรหนูน้อยจึงจะ คลานมาขอเล่นกับคุณพ่อคุณแม่อีกครั้ง นี่เป็นการฝึกความเป็นตัวของตัวเองให้ลูกขั้นแรก
 21.ทำอัลบั้มรูปครอบครัว
นำรูป ภาพของญาติ ๆ มาใส่ไว้ในอัลบั้มเดียวกัน และนำออกมาให้ลูกดูบ่อย ๆ เพื่อให้จดจำชื่อญาติแต่ละคน แล้วเวลาที่คุณปู่ หรือคุณย่าโทรศัพท์มา ก็นำรูปท่านออกมาให้ลูกดูพร้อมกับที่ให้ลูกฟังเสียงของท่านจากโทรศัพท์ไป ด้วย
 22.มื้ออาหารแสนสนุก 
เมื่อถึงเวลาที่ลูกสามารถกินอาหารเสริมที่หลากหลายมากขึ้นได้แล้ว อย่าลืมจัดอาหารของลูกให้มีชนิด ขนาดและพื้นผิวที่หลากหลาย เช่น มีทั้งผลไม้ชิ้นเล็ก เส้นพาสต้า มักกะโรนี หรือซีเรียล ปล่อยให้ลูกน้อยใช้มือจับอาหารถ้าลูกอยากทำ เป็นการฝึกใช้นิ้ว และฝึกใช้ประสาทสัมผัสเมื่อได้สัมผัสกับอาหารที่มีลักษณะแตกต่างกัน
 23.เด็กชอบทิ้งของ 
บางครั้งดูเหมือนเด็กชอบทิ้งของลงพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า พฤติกรรมนี้เกิดจากเด็กทดสอบเรื่องแรงโน้มถ่วงว่าจะตกลงสู่พื้นทุกครั้งหรือไม่
 24.กล่องมายากล
หากล่อง หรือตลับที่เหมือนกันมาสักสามอัน แล้วซ่อนของเล่นชิ้นโปรดของลูกไว้ในกล่องใบหนึ่ง สลับกล่องจนลูกจำไม่ได้ แล้วให้ลูกค้นหาของเล่นชิ้นนั้นจนเจอ นี่เป็นเกมฝึกสมองอย่างง่ายสำหรับเด็ก
25.สร้างอุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ
กระตุ้น ทักษะการทำงานของกล้ามเนื้อให้ลูก โดยนำเบาะ โซฟา หมอน กล่อง หรือของเล่นวางขวางไว้บนพื้น แล้วพ่อแม่ก็แสดงวิธีคลานข้าม ลอด หรือคลานรอบ ๆ สิ่งกีดขวางเหล่านี้ได้อย่างไร
26.เลียนแบบลูกบ้าง
เด็ก ชอบให้พ่อแม่ทำอะไรตามเขาในบางครั้ง เช่น เลียนแบบท่าหาวของลูก แกล้งดูดขวดนมของลูก ทำเสียงเลียนแบบเวลาที่ลูกส่งเสียงอ้อแอ้ หรือคลานในแบบที่ลูกคลาน การทำอย่างนี้กระตุ้นให้ลูกแสดงกิริยาท่าทางต่าง ๆ ออกมา เพราะอยากเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของพ่อแม่ นี่คือก้าวแรกของลูกสู่การมีความคิดสร้างสรรค์
27.จับใบหน้าที่แปลกไป 
ลองทำหน้าตาแปลก ๆ เช่น ขมวดคิ้ว แยกเขี้ยว แลบลิ้นให้ลูกดู เวลาลูกเห็นพ่อแม่ทำหน้าตาตลก หนูน้อยจะอยากลองจับ ปล่อยให้ลูกได้ลองจับต้องใบหน้าของพ่อแม่ แล้วสร้างเงื่อนไขบางอย่างขึ้นมา เช่น ถ้าลูกจับจมูกจะทำเสียงแบบนี้ ถ้าจับแก้มจะทำเสียงอีกแบบหนึ่ง ทำแบบนี้ 3-4 รอบ แล้วจึงเปลี่ยนเงื่อนไขไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ลูกแปลกใจ
28.วางแผนคลานตามกัน 
ลองคลานเล่นไปกับลูกให้ทั่วบ้าน คลานช้าบ้าง เร็วบ้างและหยุดหรือพ่อแม่อาจจะวางของเล่นที่น่าสนใจ หรือจัดบ้านในบางมุมให้แปลกไปก่อนที่จะมาคลานเล่นกับลูกเพื่อไปสำรวจตามจุด ต่าง ๆ ที่จัดไว้ตามแผน
29.เส้นทางแห่งความรู้สึก
อุ้มลูก น้อยเดินไปทั่วบ้านในวันฝนตก จับมือลูกไปสัมผัสหน้าต่างที่เย็นชื้น หยดน้ำที่เกาะบนใบไม้ ต้นไม้ หรือสิ่งของอื่น ๆ ในบ้านที่จับต้องได้อย่างปลอดภัย เป็นการเปิดประสาทสัมผัสของลูกสู่ความรู้สึกต่าง ๆ เมื่อได้แตะต้องสิ่งของเย็น เปียก หรือความลื่น
30.เล่าเรื่องของลูก
เลือก นิทานเรื่องโปรดของลูก แต่แทนที่จะเล่าอย่างที่เคยเล่า ลองใส่ชื่อของลูกลงไปแทนที่ชื่อตัวละครตัวสำคัญของเรื่อง เพื่อให้หนูน้อยรู้สึกแปลกใจและสนุกสนานไปกับชื่อของตัวเองในนิทาน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
นิตยสาร
at office issue 55 August 2008 p.30-34
โดย เป๊กกี้

ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต